..ช่วงปี 2558 ขณะผมขับรถเพื่อไปว่าความที่ศาลจังหวัดตะกั่วป่า
มีโทรศัพท์เพื่อนแป้น (พล.ท มนัสฯ) เข้ามาบอก
— กูถูกตร.กล่าวหาว่าไปรับเงินพัวพันกับพวกค้ามนุษย์ที่จ.ระนอง จะเอาไงดี ทางนายทหารพระธรรมนูญเอาทนายให้ก่อนเพื่อแถลงข่าวว่าไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนี้แต่อย่างใด
..ผมบอก “..หยุดการแถลงข่าวเลย คำพูดทุกคำจะมัดตัวเราไว้ในขณะที่เราไม่รู้รายละเอียดถึงข้อกล่าวหาเลย..” แต่ทนายคนนั้นนำตัวไปแถลงข่าวจนได้
..สุดท้ายมีการตั้งข้อกล่าวหาเรียกให้ไปพบ พนง.สอบสวน
..ขณะนั้นเป็นข่าวใหญ่ มีเพื่อนเป็นหน.ขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮินญา
..ผมดูตามข่าวและประสบการณ์แล้ว เห็นว่างานนี้
1.รบ.ที่เกิดขึ้นมาโดยยึดอำนาจและถูกกดดันจากต่างชาติ ย่อมเอาขบวนการนี้เป็นเหยื่อเพื่อบรรเทาความผิดตัวเองในการขึ้นสู่อำนาจ
2.นายตร.ผู้คุมคดีนี้อยู่ คือรองผบ.ตร.ซึ่งเป็นคู่แข่งกับรองคนอื่น ย่อมใช้คดีนี้ที่เป็นบันไดเพื่อขึ้นตำแหน่งสูงสุด
ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดคดีนี้ และเป็นไปไม่ได้ที่เพื่อนจะปฎิเสธตำแหน่งหน.ขบวนการแล้วละ
…มีทางเดียวที่ผมบอกเพื่อนไปคือ หนี อย่ามอบตัว
.. แต่สุดท้ายถูกหลอกล่อโดยตร. ที่รายงานต่อรองนายกฯ (พล.อ.ประวิทย์) ว่า หากมอบตัวก็จะให้ประกันตัวทันที ทำให้เพื่อนรุ่นเดียวกันที่เป็นทส.ของรองนายกฯได้ติดต่อเพื่อนไป ขณะที่ตอนนั้นมีการหลบไปแนวชายแดนแล้ว จึงนำมามอบตัว
..เมื่อเห็นข่าวผมติดต่อกลับไปว่า มาทำไม ? เพื่อนบอกตร.รับปากแล้ว ผมก็ “เฮ้อ.”
—จากนั้น ตร.ทำคดีนี้อย่างเป็นขบวนการใหญ่โต มีผู้มีอิทธิพลหรือนักการเมืองท้องถิ่นหลายคนถูกรวบเข้าขบวนการ ในขัอหาค้ามนุษย์และองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
..ผมเข้าเป็นทนายความให้กับแป้นกับรุ่นน้องอีกคนที่เพื่อนผู้พิพากษาส่งมาให้ และคดีขึ้นสู่ศาลโดยมีจำเลยรวม 100 กว่าคน
…เริ่มคดีที่ศาลจ.นาทวี โอนไปต่อที่ศาลอาญา โดยมีทนายของแต่ละจำเลยถึง 5-60 คน ซึ่งผิดวิสัยองค์กรฯ
….จากคดีใหญ่เป็นที่สนใจของนักข่าวทั้งไทยและเทศ ..ทุกคนเรียกหาสัมภาษณ์แต่ทนายของพล.ท.มนัสฯ
น้องทนายบอก..สัมภาษณ์เป็นหน้าที่พี่ตุ้ยต่ะ / ผมโอเค
..จากนักข่าวหลายสำนัก ผมเรียนไปว่า ผมไม่พูดถึงใครเกี่ยวข้องกับคดีอย่างไร แต่โดยข้อหามันไม่ใช่ เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องการช่วยเหลือพวกโรฮินญาเพื่อหลบหนีเข้าเมืองและไปต่อมาเลเซีย
คดีทำนองนี้ถูกจับและศาลตัดสินว่าเป็นแค่ช่วยเหลือหลบหนีเข้าเมืองมาโดยตลอด
พฤติกรรมต่าง ๆ ของพวกโรฮินญามีเบื้องหลัง UNให้เงินด้วยซ้ำในการพาผ่านไปมาเลย์ได้
..แต่จากกระแสข่าว
ยังคงยึดตามการกล่าวหาของตร. เพราะเขียนแล้วมัน.. มันส์กว่า
…สนข.อัลจาร์ซีร่าห์ ขอสัมภาษณ์ผมที่สตูดิโอ แถวย่านเพลินจิต
คำถามล้วนป้อนให้พล.มนัส เป็นหน.ขบวนการและมีเส้นทางการค้ากันอย่างไร
..ผมตอบ อันดับแรกก่อน..คุณก็รู้ว่าโรฮินญาอยู่ในบ้านเมืองเขาไม่ได้ด้วยเหตุใด
หลบหนีเพื่อไปด้วยตัวเองโดยทางเรือเพื่อไปมาเลย์ ล่มตายกลางทะเลหรือคลื่นซัดขึ้นฝั่งในไทย เป็นปัญหาไทยต้องตั้งแคมป์ช่วยเหลืออยู่
…การที่มีกลุ่มคนพาหลบเข้าไทยแล้วผ่านไปมาเลย์มันเป็นการค้ามนุษย์ตรงไหน ?
และลูกความผมไปเกี่ยวข้องตรงไหน ? อย่างไร ? มันเป็นเรื่องที่ผมสู้คดีอยู่
..สุดท้ายไม่ได้ความตามที่เขาต้องการ แต่ก็บอกว่าจะลงข่าวสัมภาษณ์ผมต่อไป และจะส่งมาให้(ก็ไม่เห็นมี)
..แต่หลังการสัมภาษณ์ เขาเล่าให้ฟังว่า คุณเห็นอะไรเกี่ยวกับศาลมั้ย
..ผมถาม ?
..เขาบอกว่าจากคดีนี้ ศาลเลยตั้งคดีค้ามนุษย์เป็นคดีจัดการพิเศษ ซึ่งเคยมีมั้ยในประเทศไทย ?
..เขาใช้คำว่า แล้วศาลที่มีอยู่ทั่วประเทศไม่มีความรู้ความสามารถที่จะวินิจฉัยหรือตัดสินคดีนี้เหรอ ?
และศาลที่ทำคดีที่คุณเป็นทนายอยู่ก็มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับความรู้ในกม.นี้กว่าศาลท่านอื่นเหรอ ?
(ความหมายที่เขาพูดถึงคือ ทุกอย่างอยู่ในเกมของต่างชาติโดยผ่านรบ.ของคุณแล้ว)
..ผมก็ อ๋อ ประเทศไทยยังคงตกอยู่ภายใต้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตอยู่อีกหรือ ?
หากเป็นเช่นนั้นจริง บรรพชนตุลาการที่ต่อสู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มามิสะอื้นไห้เหรอ
…สุดท้ายเมื่อคดีนี้จบในศาลชั้นต้น ทุกคดีใหม่ของข้อหานี้ก็กลับไปพิจารณายังศาลที่เหตุเกิด !!
..จากคำพูดนี้ ในการว่าความตลอด 8 วันต่อเดือนใน 1 ปีก่อนตัดสิน เป็นที่รับรู้ของทนายว่า จนท. Un หรือไม่ก็สถานฑูตเมกา ใช้อำนาจบาตรใหญ่นั่งดูการพิจารณาคดีอยู่จากห้องอธิบดีศาลอาญาแทบทุกนัด
..ผมรับรู้มิใช่แค่นั้น
..เพราะ มีนักข่าวสาวไทยจากสนข.ฝรั่งเศส จะตามข่าวจากผมตลอด บางครั้งก็นัดคุยกินข้าวกัน ที่ห้องอาหารหรูในสยามพารากอน(ผญ.เลี้ยง.. อิอิ) จนสนิทแทบทำเอาชายใจอ่อนอย่างผมเผลอใจให้เป็นนิยายรัก เธอจะถามข่าวคดีและเล่าข่าวที่ทางUn คิดกับเรื่องนี้อย่างไร
..ระหว่างคดี ท่านผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทางปท.อังกฤษให้ทุนไปอบรมเกี่ยวกับกม.ค้ามนุษย์ฯ ก่อนมาตัดสิน
..ผมก็ ..อ้าวเฮ้ย! อย่างนี้ได้ด้วยเหรอ..เล่นพาไปกล่อมซะนี่(ในความคิดผม)
สุดท้ายถึงวันนัดตัดสินคดี ก่อนวันอ่าน
..ทางทนายในคดีบางคนเป็นทนายชาวต่างชาติอยู่ด้วย เขียนขึ้นมาในไลน์กลุ่มทนายคดีนี้ บอกธงคำตอบมาแล้ว โดยได้มาจากสถานฑูตสหรัฐ
และเช่นกันตอนเช้า นักข่าวสาวไทยโทร.มาบอกข่าวเดียวกัน
(จะจริงหรือคาดการณ์ของสถานฑูตเมกา ก็ไม่ว่ากัน)
และคำพิพากษาก็มาตามธงที่ให้ไว้จริง ๆ
..จนสุดท้ายศาลอุทธรณ์ก็ตัดสินไปทำนองเดียวกัน
..คดีนี้เพึ่งขึ้นไปสู่ศาลฎีกา
ผมแค่หวังว่า รูปคดีเป็นความรู้ความสามารถในการวินิจฉัยของท่าน
เพียงได้แต่ภาวนาให้ท่านก้าวผ่านการตกอยู่ใต้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตเกี่ยวกับคดีชาวต่างชาติมาให้ได้แล้วกัน
..โดยทางคดีผมรู้สึกไม่สบายใจกับอำนาจความยุติธรรมอย่างเดียวของศาลไทย คือความไม่มีมาตรฐานในการให้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย ในแทบทุกคดีที่ผ่านมาเลย หากในเชิงวิชาการนำคดีต่อคดีมาเปรียบเทียบแลัวจะเห็นเป็นอย่างนั้น
..สุดท้ายเพื่อนผมก็ตายในคุกระหว่างคคี
..บันทึกคำอาลัย ไม่มีคุณงามความดีหรือความผิดพลาดใดของเพื่อนเป็นคำอาลัย เพราะทุกสิ่งมันเป็นชะตากรรม
และแม้แต่ใครที่มิได้ใช้วิชาชีพอย่างผู้กล้าในความธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม แต่ด้วยความเกรงกลัวต่ออีกอำนาจอื่น ก็นับเป็นกรรมของเขาด้วยอีกผู้หนึ่ง
..เหตุการณ์โลกวันนี้เปลี่ยนไป
ผู้ทำหน้าที่ตัวเองดีที่สุด กลายเป็นสิ่งไม่มีชีวิตที่มีเพียงรหัสพันธุกรรมและเข้าทำร้ายโดยไม่นับไม่เลือกเผ่าพันธ์ หรืออำนาจบารมี ใด
สำหรับผู้คงอยู่คงสำเหนียกในการต่อสู้กับสิ่งอุบัติใหม่เถิด
และสำหรับเพื่อนจงไปสู่ภพภูมิที่ดี